รายงานสถานการณ์ทุ่นระเบิดในประเทศไทยประจำปี 2547, Landmine Monitor Report 2004
ประเทศไทย
ความก้าวหน้าครั้งสำคัญนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
2546:
ไทยเป็นเจ้าภาพและประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา
ครั้งที่ 5 ณ
กรุงเทพฯ
ระหว่างวันที่
15-19 กันยายน 2546
ในปี 2546
ไทยได้กวาดล้างทุ่นระเบิดครอบคลุมพื้นที่
718,910 ตารางเมตร
และในช่วง 5
เดือนแรกของปี
2547
กวาดล้างได้รวม
478,890 ตารางเมตร
ในปี 2546
ผู้ได้รับความรู้เรื่องการเสี่ยงภัยจากทุ่นระเบิดมีจำนวน
170,890 คน
ในช่วงเวลาที่ประกาศนิรโทษกรรมอาวุธผิดกฎหมาย
ผู้ครอบครองจำนวนมากได้ส่งมอบทุ่นระเบิดให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ
ความก้าวหน้าครั้งสำคัญนับตั้งแต่ปี
2542:
ผลการสำรวจผลกระทบจากทุ่นระเบิดในเดือนพฤษภาคม
2543 ถึงพฤษภาคม 2544
สรุปว่า
ประเทศไทยมีหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบจากภัยทุ่นระเบิด
531 แห่ง ใน 27
จังหวัด
ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติได้รับการก่อตั้งในเดือนมกราคม
2542
มีการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม
(นปท.) ที่ 1 ถึง 3
ในปี 2542 และ 2543
นปท. 4
ถูกจัดตั้งในปี
2545
และทีมกู้ระเบิดฝ่ายพลเรือนในปีเดียวกัน
ปฏิบัติการกวาดล้างทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมเริ่มขึ้นในปี
2543
และเมื่อสิ้นปี
2546
มีพื้นที่ที่ได้รับการกวาดล้างรวม
1,162,236 ตารางเมตร
ระหว่างปี 2543-2546
ประชาชนกว่า
370,000
คนได้รับความรู้เรื่องการเสี่ยงภัยจากทุ่นระเบิด
ไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชุดสุดท้ายในคลังจำนวน
337,725
ทุ่นในเดือนเมษายน
2546
ไทยเป็นเจ้าภาพและประธานการประชุมรัฐภาคีครั้งที่
5
ในเดือนกันยายน
2546
และยังได้เป็นเจ้าภาพการประชุมเรื่องทุ่นระเบิดในระดับภูมิภาคเมื่อปี
2544 และ 2545
ไทยได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธานร่วมของคณะกรรมการประจำด้านสถานะทั่วไปและปฏิบัติการของอนุสัญญาตั้งแต่เดือนกันยายน
2544 ถึงกันยายน 2545
และเป็นผู้รายงานร่วมในปีก่อนหน้านี้
นโยบายเรื่องการห้ามทุ่นระเบิด
ราชอาณาจักรไทยลงนามในอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดเมื่อวันที่
3 ธันวาคม 2540
และได้ให้สัตยาบันในวันที่
27 พฤศจิกายน 2541
ไทยจึงเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ให้สัตยาบัน
อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดเริ่มมีผลบังคับใช้สำหรับไทยในวันที่
1 พฤษภาคม 2542
ในระยะแรก
ไทยไม่สู้เต็มใจที่จะรับรองกระบวนการอนุสัญญาออตตาวา
โดยเลือกที่จะเป็นผู้สังเกตการณ์ในการเจรจาครั้งต่าง
ๆ
หลังจากลงนามแล้ว
ไทยได้สนับสนุนการห้ามทุ่นระเบิดในระดับนานาชาติ
และโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างกระตือรือร้น
ไทยยังไม่ได้บัญญัติกฎหมายท้องถิ่นเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิด
แต่ก็ได้จัดเตรียม
“ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่องการควบคุมการปฏิบัติตามอนุสัญญา”[1]
ดูเหมือนว่าร่างฉบับดังกล่าวจะถูกนำมาใช้เพื่อการแก้ไขกฎระเบียบที่มีอยู่ให้สอดคล้องกับอนุสัญญาฯ
โดยมีกองบัญชาการทหารสูงสุด
(สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี)
เป็นฝ่ายผลักดัน[2]
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้แสดงความหวังว่าร่างระเบียบฉบับนี้จะแล้วเสร็จทันการประชุมทบทวนกระบวนการอนุสัญญาฯ
ที่กรุงไนโรบีในเดือนพฤศจิกายน
2547[3]
ไทยประสบความสำเร็จในการเป็นเจ้าภาพและประธานการประชุมรัฐภาคีฯ
ครั้งที่ 5 ณ
ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ
กรุงเทพฯ
ระหว่างวันที่
15-19 กันยายน 2546
โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า
400 คนจาก 119
ประเทศ
ในจำนวนนี้รวมถึงรัฐภาคี
91
รัฐและรัฐที่ยังไม่ได้เป็นภาคี
28 รัฐ
นอกจากนี้ยังมีตัวแทนองค์กรพัฒนาเอกชนกว่า
200 คนจาก 65
ประเทศเข้าร่วมด้วย
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ
เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดการประชุม
เจ้าหญิงแอสทริดแห่งเบลเยี่ยมทรงมีพระราชดำรัส
รองนายกรัฐมนตรี
พลเอกชวลิต
ยงใจยุทธ
กล่าวรายงานในฐานะเจ้าภาพ
ดร.สุรเกียรติ
เสถียรไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้รับเลือกให้เป็นประธานในที่ประชุม
สื่อมวลชนแขนงต่าง
ๆ
ให้ความสนใจรายงานข่าวเกี่ยวกับพิธีการและการประชุมตลอดสัปดาห์อย่างกว้างขวาง
ผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดจำนวนหนึ่งได้เข้าร่วมการประชุมรัฐภาคีครั้งที่
5
นี้ด้วยความกระตือรือร้น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวในพิธีปิดว่า
“การประชุมครั้งนี้ได้ให้ความสำคัญแก่ชะตากรรมของเหยื่อและผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดด้วย
เราต้องการเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในด้านการระดมทรัพยากรเพิ่มสำหรับปฏิบัติการทุ่นระเบิด
รวมทั้งการช่วยเหลือผู้ประสบภัย
เราขอย้ำความจริงที่ว่าปฏิบัติการทุ่นระเบิดมิใช่เป็นเพียงประเด็นมนุษยธรรมเท่านั้น
แต่ยังเป็นเรื่องการพัฒนาด้วย....
จึงจำเป็นต้องได้รับการพิจารณาในบริบทของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ”[4]
ไทยเข้าร่วมการประชุมรัฐภาคีเป็นประจำทุกปี
และเข้าร่วมการประชุมระหว่างสมัยประชุมอย่างกระตือรือร้นทุกครั้ง
รวมถึงการประชุมในเดือนกุมภาพันธ์และมิถุนายน
2547 ที่ผ่านมา
ไทยและนอร์เวย์ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธานร่วมของคณะกรรมการประจำด้านสถานะทั่วไปและปฏิบัติการของอนุสัญญา
ระหว่างเดือนกันยายน
2544 และกันยายน 2545
และเป็นผู้รายงานร่วมในปีก่อนหน้านี้
ไทยเป็นสมาชิกกลุ่มความร่วมมืออย่างไม่เป็นทางการหลายกลุ่ม
ทั้งในเรื่องการสนับสนุนความเป็นสากลของอนุสัญญา
รายงานความโปร่งใสตามมาตรา
7
และการระดมทรัพยากร
ในปี 2547
ไทยเป็นผู้นำคณะทำงานการระดมทรัพยากรในการติดต่อเจรจากับธนาคารโลก[5]
ไทยส่งมอบรายงานความโปร่งใสตามมาตรา
7
ของอนุสัญญาฯ
ประจำปีปฏิทิน
2546
เมื่อวันที่ 3
พฤษภาคม 2547
ในแบบฟอร์ม J
ซึ่งเป็นรายงานตามความสมัครใจ
มีรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดประชุมรัฐภาคีครั้งที่
5
ไทยจัดทำรายงานความโปร่งใสตามมาตรา
7 ไปแล้วรวม 6
ฉบับ[6]
ไทยได้ลงคะแนนเสียงสนับสนุนทุกมติของสมัชชาแห่งสหประชาชาติเรื่องการห้ามทุ่นระเบิดตั้งแต่ปี
2539 เป็นต้นมา
รวมทั้งมติหมายเลข
58/53
เมื่อวันที่ 8
ธันวาคม 2546
ในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีครั้งที่
5
ไทยเป็นผู้สนับสนุนหลักของมตินี้
รวมถึงมติหมายเลข
57/74
ที่เรียกร้องความเป็นสากลและการปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดอย่างสมบูรณ์
และมีการรับรองในเดือนพฤศจิกายน
2545
ในการเตรียมการประชุมทบทวนฯ
ครั้งแรก
ไทยได้กำหนดให้จัดการสัมมนาระดับภูมิภาคระหว่างวันที่
30 สิงหาคม – 1
กันยายน 2547
การสัมมนาครั้งนี้มีประเด็นหลักอยู่ที่การผนวกการกวาดล้างทุ่นระเบิดเข้ากับการพัฒนา
และโครงการความร่วมมือในภูมิภาค[7]
ไทยยังได้เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องปฏิบัติการทุ่นระเบิดซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศจีน
(เมษายน 2547)
และกัมพูชา
(มีนาคม 2546)
ด้วย
ไทยเป็นผู้นำรัฐภาคีต่าง
ๆ
ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกในการจัดตั้ง
Bangkok Regional Action Group (BRAG)
ในเดือนกันยายน
2545
โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมการริเริ่มการห้ามทุ่นระเบิดในภูมิภาค
อันเป็นกิจกรรมที่นำไปสู่การประชุมรัฐภาคีครั้งที่
5
ในเดือนกันยายน
2546
ไทยเป็นเจ้าภาพจัด
“การสัมมนาระดับภูมิภาคอาเซียนเรื่องปัญหาทุ่นระเบิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
ที่กรุงเทพฯ
ระหว่างวันที่
13-15 พฤษภาคม 2545
มีการจัดประชุมระดับภูมิภาคเรื่องการช่วยเหลือเหยื่อทุ่นระเบิด
ที่กรุงเทพฯ
ในวันที่ 6-8
พฤศจิกายน 2544
และไทยยังได้ร่วมสัมมนาเรื่องการทำลายทุ่นระเบิดในคลัง
ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศมาเลเซีย
ในเดือนสิงหาคม
2544 อีกด้วย
ไทยไม่ได้ร่วมในการประชุมหารือต่าง
ๆ
ที่บรรดารัฐภาคีจัดขึ้นเพื่อตีความมาตรา
1, 2 และ 3
ของอนุสัญญาฯ
ดังนั้น
ไทยจึงยังไม่ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นการปฏิบัติการร่วมทางทหารกับรัฐที่ไม่ได้เป็นภาคี
ทุ่นระเบิดต่อต้านยานยนต์ที่ติดตั้งชนวนไวหรืออุปกรณ์ป้องกันการเก็บกู้
และจำนวนทุ่นระเบิดที่อนุญาตให้เก็บไว้เพื่อการฝึกอบรมได้
คณะทำงานไทยรณรงค์เพื่อยุติกับระเบิด
(TCBL)
ซึ่งประกอบด้วยองค์กรเอกชน
11 องค์กร
มีบทบาทในการรณรงค์ห้ามทุ่นระเบิดและช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิด[8]
คณะทำงานไทยฯ
ร่วมงานกับรัฐบาลในการจัดการประชุมรัฐภาคีครั้งที่
5
โดยร่วมเป็นสมาชิกในคณะกรรมการกำหนดแผนยุทธศาสตร์ที่มี
ศทช.
เป็นประธาน
คณะทำงานไทยฯ
ได้ออกแบบตราสัญลักษณ์ของการประชุม
จัดนิทรรศการ
กิจกรรมข้างเคียง
และจัดเตรียมส่วนหนึ่งของพิธีเปิดการประชุมฯ
ก่อนหน้าการประชุมรัฐภาคี
คณะทำงานไทยฯ
ได้จัดกิจกรรมรณรงค์ทั่วประเทศ
ในเดือนเมษายน
2546
ซึ่งรัฐบาลทำลายทุ่นระเบิดชุดสุดท้ายในคลัง
มีการจัดโครงการขี่จักรยานรณรงค์จากกรุงเทพฯ
ถึงลพบุรี
โดยมีผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดเข้าร่วมจำนวน
40 คน[9]
มีการพิมพ์มือบนป้ายผ้าใน
“โครงการแสนมือร่วมใจต้านภัยทุ่นระเบิด”
ตลอดระยะเวลา
6
เดือนทั่วประเทศ
ในเดือนกรกฎาคม
2546
บรรดานักการทูต
ศิลปินดารา
แขกผู้มีเกียรติและผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดได้ร่วมพิมพ์มือบนป้ายผ้า
ในงานเลี้ยงรับรองที่กระทรวงการต่างประเทศจัดขึ้นด้วย
นอกจากนี้
ยังได้นำนิทรรศการเคลื่อนที่
“ประชาคมโลก
ร่วมมือร่วมใจ
ต้านภัยทุ่นระเบิด”
ไปจัดแสดงภายในบริเวณมหาวิทยาลัย
สวนสาธารณะ
ตลอดจนห้างสรรพสินค้าต่าง
ๆ ในวันที่ 16
สิงหาคม 2546
มีการจัด “Ban Landmines
Fair”
ที่สวนสาธารณะวชิรเบญจทัศ
(สวนรถไฟ)
ในกรุงเทพฯ
คณะทำงานไทยฯ
ได้จัดแปลและพิมพ์เอกสารรายงานสถานการณ์ทุ่นระเบิดในประเทศไทย
พร้อมกับแจกจ่ายให้กับข้าราชการและกลุ่มองค์กรต่าง
ๆ
อย่างกว้างขวาง
นอกจากนั้น
ยังได้นำเสนอรายงานฉบับแปลนี้แก่พลเอกชวลิต
ยงใจยุทธ
รองนายกรัฐมนตรีขณะเข้าเยี่ยมคารวะที่ทำเนียบรัฐบาลอีกด้วย ศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย
ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ
จัดการสัมมนาในหัวข้อ
“APMs — Are They Worth It?”
ในวันที่ 21-22
สิงหาคม 2547
ที่กรุงเทพฯ
มีผู้เข้าร่วมงานกว่า
50 คน
ประกอบด้วยผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิด
สื่อมวลชนต่าง
ๆ
นักวิชาการและองค์กรพัฒนาเอกชนจาก
12
ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ในจำนวนนี้
ยังรวมถึงผู้แทนประเทศที่ยังไม่เป็นภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดจากบรูไน
เมียนมาร์
ลาว สิงคโปร์
และเวียดนาม
ด้วย
ในเดือนมกราคม
2547
องค์การสันติวิธีสากลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(NI-SEA)
เผยแพร่เอกสารเรื่อง
“อาเซียนกับการห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล...ครึ่งทศวรรษหลังจากออตตาวา”
ในรูปแบบหนังสือ
32 หน้า
บรรจุเนื้อหารายงานการติดตามสถานการณ์ทุ่นระเบิด
(Landmine Monitor)
ระหว่างปี 2542 –
2546
นับตั้งแต่ปี
2544 เป็นต้นมา NI-SEA
จัดพิมพ์รายงานการวิจัยสถานการณ์ทุ่นระเบิดของภูมิภาคเป็นประจำทุกปี
รวมถึงรายงาน
“อาเซียนกับการห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล”
ประจำปี 2546
ซึ่งประกอบด้วยบทวิเคราะห์แนวโน้มของการปฏิบัติตามพันธกรณีและปฏิบัติการทุ่นระเบิดภายในภูมิภาค
การผลิต
การโอน
และการใช้
ไทยระบุว่าไม่เคยผลิตทุ่นระเบิดสังหารบุคคล[10]
รวมทั้งทุ่นระเบิดแบบอโลหะ
M18
(เคลย์โมร์)[11]
ในอดีต
ดูเหมือนว่าไทยเคยนำเข้าทุ่นระเบิดสังหารบุคคลจากสหรัฐอเมริกา
อิตาลี จีน
และอดีตยูโกสลาเวีย[12]
รัฐบาลไทยไม่เคยส่งออกทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
อย่างไรก็ตาม
ในปี 2544
มีการรายงานข่าวการค้าอย่างผิดกฎหมายหลายครั้ง[13]
คดีข้าราชการกองทัพบกไทย
2 นาย
พยายามลักลอบส่งออกทุ่นระเบิดอย่างผิดกฎหมายที่เกิดขึ้น
ในเดือนเมษายน
ปี 2544
ยังคงรอขึ้นศาลทหารอยู่ในปัจจุบัน[14]
และยังมีกรณีข้อกล่าวหาต่าง
ๆ
ในเรื่องการขายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยนักธุรกิจไทย
และนายทหารระดับผู้บัญชาการให้กับกลุ่มกบฏชาวพม่าในปี
2544 ด้วย
[15]
ไม่ปรากฏหลักฐานต่อข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นตามรายงานข่าวในหนังสือพิมพ์
Phnom Penh Post
ของกัมพูชา
ในเดือนพฤศจิกายน
2545
ที่ว่าผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวกัมพูชาเสียชีวิตจากการเหยียบทุ่นระเบิด
หรือที่ว่าตำรวจตระเวนชายแดนของไทยวางทุ่นระเบิดดักไว้[16]
ในอดีต
กองกำลังทหารไทยได้วางทุ่นระเบิดตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเพื่อป้องกันการแทรกซึมของกองกำลังทหารเวียดนาม
ทั้งในเขตชายแดนพม่า
ลาว
และมาเลเซีย
ก็เคยมีการใช้ทุ่นระเบิดเช่นกัน
ไทยกล่าวหาว่ากองทหารพม่าวางทุ่นระเบิดในฝั่งไทยในปี
2544
ความไม่พอใจกันระหว่าง
2
ประเทศในกรณีพิพาทเรื่องอาณาเขต
มีความรุนแรงยิ่งขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์
2544
กองกำลังทหารพม่าและกองทัพว้า
ต่างถูกกล่าวหาว่าได้วางฝังทุ่นระเบิดในพื้นที่ดังกล่าวในอีกไม่กี่เดือนต่อมา
รัฐบาลไทยได้ร้องเรียนถึงปัญหาการวางทุ่นระเบิดโดยเมียนมาร์ในหลายโอกาส
[17]
การสะสมในคลังและการทำลาย
ไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในคลังสะสมหมดสิ้นไปเมื่อวันที่
24 เมษายน 2546
ไทยเคยมีทุ่นระเบิดสะสมในคลังจำนวนรวม
342,695
ทุ่น[18]
ระหว่างปี 2542-2546
มีการทำลายทั้งสิ้น
337,725 ทุ่น
ยอดงบประมาณที่ใช้เพื่อการทำลายทุ่นระเบิดคือ
3,221,957 บาท หรือ 77,517
ดอลล่าร์สหรัฐฯ
[19]
หรือน้อยกว่า
10 บาทต่อทุ่น (0.24
ดอลล่าร์สหรัฐฯ
)
โดยมีรัฐบาลไทยเป็นผู้ให้การสนับสนุนทั้งหมด[20]
ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลรวม
4,970
ทุ่นถูกสงวนไว้เพื่อการฝึกอบรมและการค้นคว้าวิจัย
ตามที่มาตรา 3
ของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดอนุญาต
ในระยะแรก
ไทยเสนอที่จะเก็บทุ่นระเบิดไว้ในจำนวน
9,487 ทุ่น
หากแต่ได้ตัดสินใจลดจำนวนลงในเดือนพฤศจิกายน
2544[21]
หน่วยงานที่รับผิดชอบทุ่นระเบิดที่สงวนไว้ได้แก่
กองทัพบก (3,000
ทุ่น),
กองทัพเรือ (1,000
ทุ่น),
กองทัพอากาศ
(600 ทุ่น)
และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โดยกองกำลังตำรวจตระเวนชายแดน
(370
ทุ่น)[22]
ศทช.
ระบุว่าไม่มีการนำทุ่นระเบิดที่สงวนไว้ในคลังมาใช้
แต่มีการนำมาเป็นตัวอย่างในการฝึกอบรม
[23]
ไทยได้รายงานในเดือนพฤศจิกายน
2542 ว่า
มีทุ่นระเบิดแบบอโลหะ
(เคลย์โมร์) M18
และ M18A1
รวมจำนวน 6,117
ทุ่นในบัญชีครอบครอง[24]
ในปี 2547
ไทยได้ยืนยันว่าทุกหน่วยงานได้รับทราบแล้วว่าระเบิดเคลย์โมร์จะถูกใช้ได้เฉพาะเมื่อมีการควบคุมการจุดระเบิดด้วยมือเท่านั้น[25]
ไทยไม่ได้แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับระเบิดเคลย์โมร์ในคลังสะสมในรายงานความโปร่งใสตามมาตรา
7
ในช่วงเวลานิรโทษกรรมอาวุธเถื่อน
ระหว่างวันที่
17 ตุลาคม - 15
ธันวาคม 2546
มีผู้ครอบครองนำทุ่นระเบิดสังหารบุคคลไม่ทราบจำนวน
(รวมทั้ง M14, M26
และเคลย์โมร์)
ส่งมอบให้ทางราชการ[26]
สาธารณชนยังไม่ได้รับทราบประกาศรายละเอียดของจำนวนและผู้ครอบครองอาวุธเหล่านี้
เมื่อสิ้นสุดช่วงเวลานิรโทษกรรมแล้ว
มีการตรวจพบทุ่นระเบิดในคลอง
แม่น้ำ
และใจกลางเทศบาลเมืองของบางจังหวัด[27]
เจ้าหน้าที่รัฐผู้รับผิดชอบจะเป็นผู้ทำลายทุ่นระเบิดผิดกฎหมาย
ไม่ปรากฏว่าไทยได้รายงานการทำลายทุ่นระเบิดที่ผิดกฎหมายเหล่านี้ในรายงานความโปร่งใสตามมาตรา
7
ในเดือนพฤษภาคม
2547
ปัญหาทุ่นระเบิด
การสำรวจ
และการประเมินสถานการณ์
ไทยได้รับทราบสภาพปัญหาทุ่นระเบิดของตนอย่างชัดเจนขึ้นมากในปัจจุบัน
เมื่อเปรียบเทียบกับปี
2542
ซึ่งอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดมีผลบังคับใช้
อันเป็นผลจากการสำรวจผลกระทบจากทุ่นระเบิดซึ่งเกิดขึ้นระหว่างเดือนพฤษภาคม
2543 และพฤษภาคม
2544[28]
ผลการสำรวจระบุว่า
จำนวนพื้นที่ต้องสงสัยว่าจะมีทุ่นระเบิดฝังอยู่นั้นมีมากเป็น
3 เท่า
ของจำนวนที่ได้ประมาณไว้ก่อนหน้านี้[29]
มีหมู่บ้านตามชายแดนกัมพูชา,
ลาว, พม่า
และมาเลเซีย
ที่ได้รับผลกระทบจำนวน
531 หมู่บ้าน ใน 27
จังหวัด
หนึ่งในสามของพื้นที่อยู่ที่ชายแดนติดกัมพูชา
พื้นที่ต้องสงสัยส่วนใหญ่
จากจำนวน 934
แปลงไม่มีป้ายเตือนภัยติดตั้งอยู่
ยกเว้นในบริเวณที่อยู่ในระหว่างการเก็บกู้[30]
หน่วยทหารมีแผนที่เฉพาะพื้นที่เสี่ยงบางแห่งเท่านั้น
ชาวบ้านทั่วไปจำนวนมากยังคงเสี่ยงภัยเมื่อเข้าไปหาอาหาร
เก็บฟืนและทำการเกษตรในพื้นที่เหล่านี้
แม้ทราบดีว่ามีทุ่นระเบิด
เนื่องจากขาดโอกาสทางการอาชีพและแหล่งรายได้อื่น
ๆ
เอกสารรายงานการสำรวจผลกระทบจากทุ่นระเบิดได้รับการเผยแพร่ในไทยเมื่อเดือนตุลาคม
2545[31]
ขณะนี้มีฉบับแปลเป็นภาษาไทยแล้ว
ศทช.
และมูลนิธิพลเอกชาติชาย
ชุณหะวัณ
รายงานว่าได้ดำเนินการสำรวจทางเทคนิคก่อนเริ่มปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดทุกครั้ง
เพื่ออธิบายข้อมูลจากการสำรวจผลกระทบจากทุ่นระเบิดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น[32]
ศทช.
มีแผนสำหรับการสำรวจผลกระทบจากทุ่นระเบิดขั้นที่
2
หรือที่เรียกว่าการสำรวจทางเทคนิค
เพื่อติดตามผลของผลการสำรวจขั้นที่
1 ในปี 2544
โดยมีเป้าหมายเพื่อ
“ระบุพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ซึ่งจะช่วยให้ผู้เก็บกู้ทุ่นระเบิดสามารถปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”[33]
นับตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในปี
2543
มีปริมาณพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ผ่านการกวาดล้าง
ในการประชุมระหว่างสมัยประชุมในเดือนพฤษภาคม
2546 ไทยระบุว่า
ไม่สามารถดำเนินการกวาดล้างทุ่นระเบิดให้หมดสิ้นภายในวันที่
1 พฤษภาคม 2552
ตามที่มาตรา 5
ของอนุสัญญาฯ
กำหนดไว้ได้
[34]
ในเดือนกุมภาพันธ์
2547
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวรับรองกับคณะทำงานไทยรณรงค์เพื่อยุติกับระเบิด
ว่าไทยจะปฏิบัติตามพันธกรณีเพื่อให้ไทยปลอดจากทุ่นระเบิดได้[35]
อย่างไรก็ตาม
ยังไม่ปรากฏกำหนดการและแผนงานที่จะทำให้บรรลุผลดังกล่าวได้
ในเดือนมีนาคม
2547 ดร.
สุรเกียรติ
เสถียรไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
กล่าวในการประชุมนานาชาติว่า
ไทยมีความมุ่งมั่นในการเร่งรัดปฏิบัติการทุ่นระเบิดภายในประเทศ[36]
ในเดือนมิถุนายน
2547
ไทยได้กล่าวย้ำอีกครั้งว่าปริมาณพื้นที่ที่ปนเปื้อนด้วยทุ่นระเบิดนั้น
“จะทำให้ ศทช.
ต้องใช้ระยะเวลาในการกวาดล้างยาวนานกว่าที่ระบุในอนุสัญญา”[37]
ระบบปฏิบัติการฐานข้อมูลเพื่อปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม
(IMSMA)
ได้รับการติดตั้งที่
ศทช.
เมื่อต้นปี 2544
โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ
(UNDP)
ได้ว่าจ้างบริษัทเอกชนเพื่อติดตั้งและจัดการระบบดังกล่าว
ฐานข้อมูลนี้ได้ผนวกข้อมูลจากการสำรวจผลกระทบจากทุ่นระเบิดไว้ด้วย
และมีการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง[38]
ในปี 2547 ศทช.
อยู่ในระหว่างปรับปรุงระบบ
IMSMA
ให้มีคุณสมบัติเท่าเทียมกับระบบใหม่ในชุด
(เวอร์ชั่น)
2.2[39]
ก่อนหน้านี้
เมื่อต้นปี 2543
ศทช.
ได้จัดทำฐานข้อมูลและติดตั้งระบบเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่าง
ศทช.
กับหน่วยกวาดล้างทุ่นระเบิดต่าง
ๆ
โดยได้รับการสนับสนุนและงบประมาณจาก
UNDP
และสหรัฐอเมริกา
ข้อมูลจาก
ศทช. ระบุว่า IMSMA
มีข้อจำกัดในการระบบปฏิบัติงาน
สืบเนื่องจากการปรับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่เป็นประจำทุกปี
บุคลากรที่ผ่านการอบรมแล้วถูกโอนไปยังหน่วยงานอื่น
และการที่หน่วยราชการไม่สามารถว่าจ้างเอกชนมาจัดการระบบ
ทำให้มีข้อมูลตกค้างอยู่มาก
ศทช.
ได้ร้องขอให้กรมการสนเทศทหาร
ซึ่งรับผิดชอบงานด้านสารสนเทศของกองบัญชาการทหารสูงสุด
รับช่วงดำเนินการเพื่อปรับปรุงฐานข้อมูลกลางของ
IMSMA
ให้เป็นปัจจุบัน[40]
นอกเหนือจากระบบ
IMSMA แล้ว
การจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติการทุ่นระเบิดและผู้ประสบภัยยังคงไม่มีความต่อเนื่องหรือเพียงพอ
เนื่องจาก
ศทช.
อาศัยเพียงข้อมูลการรายงานจากหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม
(นปท.) ต่าง ๆ
เท่านั้น
ข้อมูลที่มีอยู่จึงไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิด
และรายงานเกี่ยวกับผู้ประสบภัยทุ่นระเบิดจึงไม่สมบูรณ์[41]
การประสานงานและการจัดทำแผนงาน
ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ
ได้รับการก่อตั้งขึ้นในเดือนมกราคม
2542
โดยมีความรับผิดชอบประสานงานการปฏิบัติการทุ่นระเบิดและดำเนินการตามแผนปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมระดับชาติ
ศทช.
เป็นหน่วยงานภายใต้กองบัญชาการทหารสูงสุด
ศทช.
ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลผ่านทางกองบัญชาการทหารสูงสุด
ในปัจจุบัน
ศทช.
ยังไม่สามารถว่าจ้างพลเรือนได้โดยตรง
แต่อยู่ในระหว่างการดำเนินการผ่านทางกองบัญชาการทหารสูงสุด
เพื่อเปลี่ยนสถานะเป็นองค์การมหาชน[42]
เจ้าหน้าที่และผู้ปฏิบัติงานภายใน
ศทช.
ถูกมอบหมายจากต้นสังกัด
ให้ปฏิบัติงานในระยะสั้น
และผู้อำนวยการ
ศทช.
ให้สัมภาษณ์ว่าการสับเปลี่ยนบุคลากรเป็นประจำทุกปีไม่เอื้ออำนวยให้เจ้าหน้าที่พัฒนาประสบการณ์ของตนในระดับสูงขึ้นได้
ผู้อำนวยการคนใหม่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่
25 ธันวาคม 2546
และได้เริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการในวันที่
20 มกราคม
2547[43]
คณะกรรมการดำเนินงานทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในระดับชาติ
ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย
กำกับดูแลการปฏิบัติงาน
ดำเนินงานด้านการประชาสัมพันธ์ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ
ให้คำปรึกษาแก่รัฐบาล
จัดตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อทำงานในด้านต่าง
ๆ
และประสานความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น
ๆ
ที่เกี่ยวข้อง[44]
แม้ว่าคณะกรรมการชุดนี้ได้รับการแต่งตั้งในเดือนกุมภาพันธ์
2543
แต่มีการจัดประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่
18 ธันวาคม 2545
คณะกรรมการได้อนุมัติ
“แผนแม่บทการปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมของประเทศไทย
ฉบับที่ 1
(แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่
1) ระยะเวลา 5 ปี
(พ.ศ. 2545 –
2549)”[45]
ศทช.
กล่าวในต้นปี
2547
ว่ามีความตั้งใจจะปรับปรุงแก้ไขแผนแม่บทอีกครั้งในอนาคตอันใกล้นี้[46]
ศทช.
ได้จัดประชุมขึ้นที่
อ.อรัญประเทศ
จ.สระแก้ว
ระหว่างวันที่
9-11 สิงหาคม 2547
โดยผู้เข้าร่วมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ได้หารือกันในเรื่องดังกล่าว
ศทช.
ให้ข้อมูลว่ายังมีการระดมทุนจากภายนอกประเทศเข้ามาเพื่อเร่งรัดการกวาดล้างทุ่นระเบิด
ในขณะที่มีการร่วมมือกันจากหลายฝ่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของปฏิบัติการ[47]
แผนแม่บทการปฏิบัติการทุ่นระเบิดฉบับแก้ไขปรับปรุง
ได้จัดลำดับความสำคัญโดยคำนึงถึงความต้องการของพลเรือน
ซึ่งรวมถึงการเข้าถึงโรงเรียน
ศาสนสถาน
พื้นที่การเกษตร
และแหล่งน้ำ[48]
การเก็บกู้กวาดล้างทุ่นระเบิด
ในปี 2546 ศทช.
เก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่รวม
718,910 ตารางเมตร
หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม
(นปท.) ของ ศทช.
ได้เก็บกู้ในพื้นที่ทั้งสิ้น
311,438 ตารางเมตร
และทีมพลเรือนโดยมูลนิธิพลเอกชาติชาย
ชุณหะวัณ
และองค์กรพันธมิตรแห่งญี่ปุ่นเพื่อการสนับสนุนด้านการกวาดล้างทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม
(Japan Alliance for Humanitarian Demining Support - JAHDS)
เก็บกู้ได้พื้นที่
407,472
ตารางเมตร[49]
เมื่อนับรวมกันแล้ว
ทั้งสองหน่วยงานได้ตรวจพบและทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลจำนวน
148 ทุ่น
ทุ่นระเบิดต้านรถถัง
1 ทุ่น
และสรรพาวุธระเบิดที่ยังไม่ระเบิด
86 ลูก
ปฏิบัติการกวาดล้างทุ่นระเบิดดังกล่าว
ถือเป็นครั้งแรกของมูลนิธิพลเอกชาติชาย
ชุณหะวัณและ
JAHDS
โดยก่อนหน้านี้เป็นการให้ทุนเพื่อปฏิบัติการทุ่นระเบิด
ในช่วงเดือนมกราคม
– พฤษภาคม 2547
ศทช.
ได้กวาดล้างทุ่นระเบิดในพื้นที่อีก
478,890 ตารางเมตร
พบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
95 ทุ่น
ทุ่นระเบิดต้านรถถัง
5 ทุ่น
และสรรพาวุธระเบิดที่ยังไม่ระเบิด
93 ลูก
นับตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในปี
2543 จนถึง ปี 2546
มีพื้นที่ที่กวาดล้างแล้วทั้งสิ้น
1,162,236
ตารางเมตร[50]
ในขณะที่มีปริมาณพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ผ่านการกวาดล้าง
แต่สังเกตได้ชัดว่าระยะก้าวในปฏิบัติการมีความคืบหน้า
ตัวเลขของ
ศทช. ระบุว่า
ในปี 2543
กวาดล้างพื้นที่ได้
22,400 ตารางเมตร
ปี 2544 ได้ 22,400
ตารางเมตร ปี
2545 ได้ 398,526
ตารางเมตร
และในปี 2546 ได้
718,910 ตารางเมตร
หากตัวเลขสำหรับเดือนมกราคม
– พฤษภาคม
คงที่
คาดว่าในปี 2547
จะกวาดล้างได้
1,149,336 ตารางเมตร
ในวันที่ 23
มกราคม 2547
มีการส่งมอบพื้นที่กว่า
400,000
ตารางเมตรรอบ
ๆ
ปราสาทสด็กก๊อกธมให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว
โดยมีพลเอกวีระชัย
เอี่ยมสะอาด
เป็นประธานในพิธี[51]
ปฏิบัติการกวาดล้างทุ่นระเบิดเริ่มขึ้นในเดือนธันวาคม
2545
โดยความร่วมมือระหว่าง
นปท.1
มูลนิธิพลเอกชาติชาย
ชุณหะวัณ และ
JAHDS
ทีมพลเรือนเก็บกู้ระเบิดทีมแรก
ซึ่งเข้าร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิพลเอกชาติชาย
ชุณหะวัณ และ
JAHDS[52]
ศทช.
ให้การฝึกอบรมพลเรือนเก็บกู้ทุ่นระเบิดจำนวน
14 คนในปี 2544
จากนั้นในเดือนมีนาคม
2545
พลเรือนชุดนี้ได้เข้าร่วมการสำรวจในพื้นที่กิ่งอำเภอโคกสูง
จ.สระแก้ว
และได้เริ่มการปฏิบัติการกวาดล้างทุ่นระเบิดเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคม
2546
ที่ปราสาทสด็กก๊อกธม
จ.สระแก้ว ศทช.
ไม่สามารถจัดฝึกพลเรือนเพิ่มขึ้นอีก
2
ชุดตามเป้าหมายได้
เนื่องจากขาดงบประมาณ
ในวันที่ 26
พฤศจิกายน 2546
มีการตรวจสอบพื้นที่ที่ผ่านการกวาดล้างแล้วจำนวน
227,209
ตารางเมตรที่กิ่งอำเภอโคกสูง
จังหวัดสระแก้ว
ซึ่งรวมถึงพื้นที่ทางการเกษตรที่
นปท.1
กวาดล้างจำนวน
94,360 ตารางเมตร
และพื้นที่ที่ถูกกวาดล้างโดย
JAHDS
และมูลนิธิพลเอกชาติชาย
ชุณหะวัณ อีก
132,849
ตารางเมตร[53]
นปท. 2
กวาดล้างพื้นที่ใกล้กับตลาดการค้าชายแดน
แหล่งน้ำและเส้นทางชลประทาน
นปท. 3
กวาดล้างพื้นที่ใกล้และรอบบริเวณทางหลวงและถนนสายเล็กหลายสาย
ในปี 2547 นปท. 4
ได้ทำการกวาดล้างในพื้นที่โครงการหลวงจังหวัดน่าน
ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนแห่งหนึ่ง
และยังได้กวาดล้างพื้นที่เพื่อการผลิตทางการเกษตรที่เขาค้อด้วย[54]
นอกเหนือจากข้อมูลเรื่องการกวาดล้างทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมข้างต้นแล้ว
ทีมกวาดล้างทุ่นระเบิด
2 ทีม
ได้เก็บกู้สรรพาวุธระเบิดที่ยังไม่ระเบิดและทุ่นระเบิด
หลังเกิดกรณีคลังแสงของกองทัพบกที่หนองสาหร่าย
อำเภอปากช่อง
จังหวัดนครราชสีมา
ระเบิดครั้งใหญ่
โดยได้ร่วมกันปฏิบัติการภายในรัศมี
5
กิโลเมตรจากจุดที่คลังแสงระเบิด
ในระหว่างวันที่
26 ตุลาคม – 20
ธันวาคม
2544[55]
ปฏิบัติการเก็บกู้ฉุกเฉินครั้งนี้
สามารถครอบคลุมพื้นที่ทั้งสิ้น
4,125,350
ตารางเมตร[56]
การระเบิดครั้งดังกล่าวได้ทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในคลังสะสมของไทยจำนวน
48,688 ทุ่น
โครงสร้างของ
ศทช.
ประกอบด้วยศูนย์บัญชาการที่กรุงเทพฯ
ศูนย์ฝึกอบรมการปฏิบัติการตรวจค้นและทำลายทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรม
จ.ราชบุรี
ศูนย์ฝึกอบรมการปฏิบัติการแจ้งเตือน
ให้ความรู้และหาข่าว
จ.ลพบุรี
และศูนย์ฝึกสุนัขตรวจค้นทุ่นระเบิดและผู้บังคับสุนัข
จ.นครราชสีมา
มีการจัดตั้งและฝึกอบรมบุคลากรของ
นปท. 1, 2 และ 3 ในปี
2542 และ 2543 ส่วน
นปท. 4
ถูกจัดตั้งในปี
2545
แผนการจัดตั้ง
นปท. 5
ไม่เป็นไปตามกำหนดโดยมีสาเหตุส่วนใหญ่สืบเนื่องจากการขาดงบประมาณสนับสนุน[57]
ในปี 2546 ศทช.
เพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่จากเดิม
311 คน เป็น 451 คน
โดยแบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์บัญชาการ
40 คน
ศูนย์ฝึกอบรมการปฏิบัติการตรวจค้นและทำลายทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรม
32 คน
ศูนย์ฝึกอบรมการปฏิบัติการแจ้งเตือน
ให้ความรู้และหาข่าว
11 คน
ศูนย์ฝึกสุนัขตรวจค้นทุ่นระเบิดและผู้บังคับสุนัข
15 คน สำหรับ
นปท. 1, 2 และ 3
มีเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยละ
99 คน และ นปท. 4
มีเจ้าหน้าที่
56 คน ศทช.
มีสุนัขตรวจค้นทุ่นระเบิด
26 ตัว
เครื่องจักรกล
4 เครื่อง (SDDTs 2
เครื่อง Tempest T-10 1
เครื่อง และ BDM-48 1
เครื่อง)
เครื่องตรวจค้นระเบิด
“Vallon 21” 83 เครื่อง
และเครื่องตรวจค้นระเบิด
“Mine Lap” 34
เครื่อง[58]
การให้ความรู้เรื่องการเสี่ยงภัยจากทุ่นระเบิด
ในปี 2546 นปท.
ทั้ง 4 หน่วย
และองค์กรพัฒนาเอกชน
2 องค์กร คือ
องค์การแฮนดิแคปอินเตอร์เนชั่นแนล-
ประเทศไทย (HI)
และ
ศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย
(ADPC)
ดำเนินกิจกรรมให้ความรู้เรื่องการเสี่ยงภัยจากทุ่นระเบิดตลอดแนวชายแดนไทยฝั่งตะวันออก
ตะวันตก
และเหนือ
มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมรวมทั้งสิ้น
170,890 คน ผ่านทาง
นปท. 169,461 คน
ผ่านทาง HI 1,079 คน
และผ่านทาง ADPC 350
คน
จากข้อมูลที่ได้รายงานใน
Landmine Monitor
ฉบับก่อนหน้านี้
มีประชากรรวม
370,000 คน
ได้รับการอบรมความรู้เรื่องภัยจากทุ่นระเบิดระหว่างปี
2543 – 2546
ก่อนปี 2542
รัฐบาลได้ดำเนินการเพื่อสร้างความตระหนักเรื่องภัยทุ่นระเบิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
คณะทำงานไทยรณรงค์เพื่อยุติกับระเบิด
ได้จัดโครงการหลายโครงการในระหว่างปี
2540 – 2543
ตามอาณัติที่มีอยู่
ศทช.
ได้เริ่มฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ในเดือนสิงหาคม
2542[59]
และโครงการแจ้งเตือน-ให้ความรู้จากภัยทุ่นระเบิดก็เริ่มต้นขึ้นในอีกหนึ่งปีต่อมา
โดยระหว่างเดือนสิงหาคม
2543 – 2545 ศทช.
สามารถเข้าถึงชุมชน
248 แห่ง
ซึ่งมีประชากรรวม
185,888 คน[60]
ในปี 2546 นปท.
จัดการอบรมให้แก่ประชากร
169,461 คนจาก 87
ชุมชนใน 9
จังหวัด[61]
ADPC
ซึ่งเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมระดับนานาชาติ
ได้จัดการฝึกอบรมให้ความรู้เรื่องการเสี่ยงภัยจากทุ่นระเบิดให้กับเจ้าหน้าที่รัฐและครูตั้งแต่ปี
2542 เป็นต้นมา
ในปี 2546 ADCP
จัดการอบรมเรื่อง
“โครงการอบรมความรู้เรื่องภัยจากทุ่นระเบิดในชุมชนที่ได้รับผลกระทบสูง”
ในสามจังหวัดคือ
จังหวัดสุรินทร์
(17-18 พฤศจิกายน)
จังหวัดศรีสะเกษ
(20-21 พฤศจิกายน)
และจังหวัดเชียงราย
(11-12 ธันวาคม)
มีผู้นำชุมชนจำนวน
302 คน
เข้าร่วมโครงการ[62]
มีการจัดพิมพ์หนังสือเล่มเล็กเรื่องความรู้เรื่องทุ่นระเบิดและการปฏิบัติตนเพื่อความปลอดภัยจากทุ่นระเบิดนับพันเล่มและแจกจ่ายให้แก่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยทุ่นระเบิด[63]
ในวันที่ 5-6
กุมภาพันธ์ 2547 ADPC
ได้จัดการอบรมให้ความรู้เรื่องภัยจากทุ่นระเบิดให้แก่เจ้าหน้าที่และครู
48
คนที่กิ่งอำเภอโคกสูง
จังหวัดสระแก้ว
ADPC
อยู่ในระหว่างการเตรียมการเพื่อจัดการฝึกอบรมให้แก่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบสูงตลอดแนวชายแดนไทย–พม่า
ในระหว่างเดือนมีนาคม
2547-มีนาคม 2548
โครงการนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาเด็กแห่งสหประชาชาติ
(UNICEF)
เป้าหมายของโครงการได้แก่
ครู นักเรียน
และครอบครัวของเด็กนักเรียน[64]
ตั้งแต่ปี 2542
เป็นต้นมา
มีผู้ผ่านการอบรมจาก
ADPC
จำนวนทั้งสิ้น
1,590 คน
ในปี 2546
องค์การแฮนดิแคปอินเตอร์เนชั่นแนล
ประเทศไทย (HI)
ได้จัดโครงการฝึกอบรม
3 ครั้ง
มีผู้เข้ารับการอบรมรวม
1,079 คน[65]
ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
2546 ถึง เมษายน 2547 HI
ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแห่งสหภาพยุโรป
(ECHO) ในการจัด
“โครงการให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยสัญชาติพม่าเพื่อให้พึ่งพาตนเองในด้านการให้ความรู้เรื่องทุ่นระเบิดและการฟื้นฟูสมรรถภาพ”
เพื่อตอบสนองความจำเป็นเร่งด่วนของผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นในค่ายผู้ลี้ภัยตลอดแนวชายแดนไทย-พม่า
ทั้งในเขตจังหวัดตาก
แม่ฮ่องสอน
ราชบุรี
และกาญจนบุรี
โครงการในลักษณะเดียวกันนี้
ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ
(UNHCR) ในปี 2546
กลุ่มเป้าหมายได้แก่บุคลากรที่เป็นผู้ลี้ภัยและหัวหน้าค่ายผู้ลี้ภัยทั้ง
8 ค่าย
ในจังหวัดตาก
(แม่หละ
อุ้มเปี้ยม
นุโพ)
แม่ฮ่องสอน
(ปางควาย
แม่ลามาหลวง
แม่กองคา)
และราชบุรี
(ถ้ำหิน)
และกาญจนบุรี
(ดอนยาง)[66]
ในระหว่างเดือนกันยายน
2546 –
กุมภาพันธ์ 2547 HI
จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อให้ความรู้เรื่องการเสี่ยงภัยจากทุ่นระเบิดแก่เด็ก
ๆ
และได้แจกหนังสือการ์ตูนเรื่อง
“จดหมายจากเพื่อนชายแดน”
ฉบับภาษาไทยจำนวน
1,500 เล่ม
และภาษาอังกฤษ
1,000 เล่ม
ในการจัดกิจกรรม
“No Mine Day”
ในปลายเดือนพฤศจิกายน
HI
ได้แจกเสื้อและร่มที่มีข้อความให้ความรู้เรื่องทุ่นระเบิด
เด็กนักเรียนได้รับแจกโปสเตอร์และแผ่นพับ[67]
ในปี 2546
ได้แจกจ่ายโปสเตอร์จำนวน
1,430 แผ่น
และแผ่นพับ 3,355
แผ่น[68]
ในเดือนมีนาคม
2546 HI
ได้ยุติโครงการการให้ความรู้เรื่องการป้องกันภัยจากทุ่นระเบิดและการช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยชุมชนในจังหวัดจันทบุรี
ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการ
3 ปี
ในเดือนเดียวกันการสำรวจจำนวนผู้ประสบภัยในโรงพยาบาลอำเภอแม่สอด
จังหวัดตาก
ได้สิ้นสุดลงหลังจากดำเนินการครบ
2 ปี
ในระหว่างปี
2543 – 2546 HI
ได้ให้ความรู้เรื่องการเสี่ยงภัยจากทุ่นระเบิดแก่กลุ่มเป้าหมาย
รวมจำนวน 25,290
คน
ในระหว่างเดือนเมษายน
2544 ถึงมีนาคม 2545
สำนักงานคาทอลิกสงเคราะห์ผู้ประสบภัยและผู้ลี้ภัย
(โคเออร์)
ได้ให้ความรู้เรื่องการเสี่ยงภัยจากทุ่นระเบิดแก่นักเรียนจำนวน
1,500 คน[69]
ไทยได้รายงานกิจกรรมการแจ้งเตือน-ให้ความรู้เรื่องทุ่นระเบิดของหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในรายงานความโปร่งใสตามมาตรา
7
ส่งมอบเมื่อวันที่
3 พฤษภาคม 2547, 22
กรกฎาคม 2546 และ 30
เมษายน 2544
ความช่วยเหลือและทุนสนับสนุนในปฏิบัติการทุ่นระเบิด
ในปีงบประมาณ
2547 (ตุลาคม 2546 –
กันยายน 2547) ศทช.
ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลไทยทั้งสิ้น
38.8 ล้านบาท (933,489
ดอลล่าร์สหรัฐฯ)
สำหรับปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรม[70]
รัฐบาลไทยจัดสรรงบประมาณสำหรับ
ศทช. ในปี 2546
จำนวน 35
ล้านบาท ปี 2545
จำนวน 32
ล้านบาท ปี 2544
จำนวน 40
ล้านบาท ปี 2543
จำนวน 16.4
ล้านบาท
และกองบัญชาการทหารสูงสุดจัดสรรเพิ่มเติมให้อีก
1.6
ล้านบาทในปีงบประมาณ
2543
รัฐบาลไทยใช้จ่ายงบประมาณจำนวน
7,349,500 บาท (176,822
ดอลล่าร์สหรัฐฯ)
ในการเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐภาคีครั้งที่
5[71]
ในจำนวนดังกล่าวได้รวมถึงเงินประมาณ
6.9 ล้านบาท (166,007
ดอลล่าร์สหรัฐฯ)
ที่ ศทช.
ได้รับผ่านกองบัญชาการทหารสูงสุดด้วย[72]
จากข้อมูลที่
Landmine Monitor ได้รับ
มีการบริจาคเงินจากนานาชาติเพื่อปฏิบัติการทุ่นระเบิดของไทยในปี
2546
ในมูลค่าประมาณ
1.2
ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ
ซึ่งมีแหล่งที่มาคือประเทศสหรัฐอเมริกา
ญี่ปุ่น
แคนาดา
นอร์เวย์
ออสเตรเลีย
สำนักงานความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแห่งสหภาพยุโรป
(ECHO)
สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ
(UNHCR)
และกองทุนเพื่อการพัฒนาเด็กแห่งสหประชาชาติ
(UNICEF)
สหรัฐอเมริกาเป็นผู้บริจาคเพื่อปฏิบัติการทุ่นระเบิดรายใหญ่ที่สุดสำหรับไทย
โดยมียอดบริจาครวมประมาณ
13.6
ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ
นับแต่ปี 2542
เป็นต้นมา
สหรัฐอเมริกาได้ประกาศว่าตั้งแต่ปีงบประมาณ
2546 เป็นต้นไป
จะไม่ให้การสนับสนุนเป็นตัวเงินโดยตรง
แต่ก็ได้ให้ความช่วยเหลือในรูปแบบที่ไม่ใช่ตัวเงินในมูลค่าประมาณ
70,000
ดอลล่าร์สหรัฐฯ
ในปีงบประมาณ
2547 เนื่องจาก
ศทช.
ยังคงใช้เครื่องจักรกล
SDTT-48 (Pearson)
และเครื่องกวาดล้างทุ่นระเบิด
TEMPEST
เพื่อเหตุผลด้านการวิจัยและพัฒนาภายใต้การอุปถัมภ์ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ
นอกจากนั้น
สหรัฐอเมริกายังได้ช่วยซ่อมบำรุงรถบรรทุกให้
ศทช.
ด้วย[73]
ในปีงบประมาณ
2545
สหรัฐอเมริกาได้ให้ทุนจำนวน
801,000
ดอลล่าร์สหรัฐฯ
สนับสนุนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม[74]
ปีงบประมาณ 2544
สนับสนุน 1.77
ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ
ปี 2543 สนับสนุน 3
ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ
และในปี 2542
สนับสนุน 1.75
ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ
ศทช.
รายงานว่ายอดรวมทุนสนับสนุนการสำรวจผลกระทบจากทุ่นระเบิดระหว่างปี
2543-2544 มีจำนวน 1,655,075
ดอลล่าร์สหรัฐฯ
บรรดาผู้สนับสนุนทุน
ได้แก่
ประเทศนอร์เวย์
(450,518
ดอลล่าร์สหรัฐฯ)
สหราชอาณาจักร
(449,700
ดอลล่าร์สหรัฐฯ)
สหรัฐอเมริกา
(308,105
ดอลล่าร์สหรัฐฯ)
กองทุนแห่งสหประชาชาติ
(154,052
ดอลล่าร์สหรัฐฯ)
ออสเตรเลีย (100,700
ดอลล่าร์สหรัฐฯ)
แคนาดา 100,000
(ดอลล่าร์สหรัฐฯ)
และฟินแลนด์
92,000
(ดอลล่าร์สหรัฐฯ)[75]
นอกจากสหรัฐอเมริกาและการสำรวจผลกระทบจากทุ่นระเบิดแล้ว
ไทยยังไม่ได้รับทุนสนับสนุนใดใดในปริมาณมากจากนานาชาติเพื่อปฏิบัติการทุ่นระเบิด
ในปี 2546
รัฐบาลแคนาดาสนับสนุนทุนจำนวน
7,335
ดอลล่าร์สหรัฐฯ
ให้แก่
ศทช./คณะทำงานไทยรณรงค์เพื่อยุติกับระเบิด
เพื่อการจัดสัมมนาปฏิบัติการทุ่นระเบิดระดับอาเซียน
อันเป็นการเตรียมการประชุมรัฐภาคีครั้งที่
5
และยังได้สนับสนุนทุนจำนวน
7,280
ดอลล่าร์สหรัฐฯ
แก่คณะทำงานรณรงค์เพื่อยุติกับระเบิดของฟิลิปปินส์
เพื่อการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการสำหรับกลุ่มปฏิบัติการที่ไม่ใช่รัฐ
ที่กรุงเทพฯ
ในปี 2545
รัฐบาลแคนาดาบริจาคเครื่องจักรกลกวาดล้างทุ่นระเบิด
PROMAC (BDM
48) และสารเคมีจุดระเบิด
FIXOR
ที่ผลิตในแคนาดา
ในมูลค่าประมาณ
340,000
ดอลล่าร์สหรัฐฯ
ให้แก่ นปท.1
อย่างเป็นทางการ
แคนาดารายงานว่าทุนสนับสนุนปฏิบัติการทุ่นระเบิดที่ให้แก่ในไทยในปี
2544
มีมูลค่ารวม
295,972
ดอลล่าร์สหรัฐฯ[76]
ญี่ปุ่นรายงานต่อ
Landmine Monitor ว่าในปี 2546
ได้บริจาคเงินให้แก่องค์กรพันธมิตรแห่งญี่ปุ่นเพื่อการสนับสนุนด้านการกวาดล้างทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม
(JAHDS) จำนวน 77.7
ล้านเยน (637,000
ดอลล่าร์สหรัฐฯ)
สำหรับการกวาดล้างทุ่นระเบิดในไทย[77]
ญี่ปุ่นรายงานต่อสหประชาชาติว่าได้สนับสนุนปฏิบัติการทุ่นระเบิดในไทย
ด้วยทุนจำนวน
436,187
ดอลล่าร์สหรัฐฯ
ในปี 2545 และ 476,081
ดอลล่าร์สหรัฐฯ
ในปี
2542[78] ศทช.
ระบุว่า
ญี่ปุ่นได้จัดสรรทุนจำนวน
400,000
ดอลล่าร์สหรัฐฯ
ให้แก่ไทยในปี
2543
ผ่านทางกองทุนอิสระแห่งสหประชาชาติเพื่อปฏิบัติการทุ่นระเบิด
แต่ไทยสามารถนำทุนดังกล่าวมาใช้ได้ในช่วงปี
2545[79]
ในปี 2546
นอร์เวย์บริจาคทุนจำนวน
252,000
โครนนอร์เวย์
(35,582
ดอลล่าร์สหรัฐฯ)
เพื่อสนับสนุนกิจกรรมของคณะทำงานไทยรณรงค์เพื่อยุติกับระเบิด
ในการจัดเตรียมการประชุมรัฐภาคีครั้งที่
5
โดยได้มอบให้แก่องค์การเยสุอิตสงเคราะห์ผู้ลี้ภัย
(JRS) จำนวน 150,000
โครนนอร์เวย์
และศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย
(ADPC) จำนวน 102,000
โครนนอร์เวย์[80]
นอกจากนั้น
นอร์เวย์ยังได้มอบทุนจำนวน
460,000 บาท ให้แก่ ADPC
เพื่อสนับสนุนการจัดโครงการให้ความรู้เรื่องภัยจากทุ่นระเบิด[81]
นอร์เวย์รายงานต่อสหประชาชาติว่า
ได้ให้ทุนสนับสนุนปฏิบัติการทุ่นระเบิดในไทยเป็นจำนวน
80,111
ดอลล่าร์สหรัฐฯ
ในปี 2544 และ 375,000
ดอลล่าร์สหรัฐฯ
ในปี 2542
ในปี 2546 ADPC
ได้รับเงินสนับสนุนจาก
UNICEF จำนวน 40,000
ดอลล่าร์สหรัฐฯ
เพื่อใช้ในโครงการให้ความรู้เรื่องการป้องกันภัยจากทุ่นระเบิดบริเวณแนวชายแดนไทย-พม่า[82]
และได้รับอีก
30,000
ดอลล่าร์สหรัฐฯ
จากออสเตรเลีย
แคนาดา
นอร์เวย์ และ
UNICEF
สำหรับจัดการสัมมนาระดับภูมิภาคในเดือนสิงหาคม
2546
ที่กรุงเทพฯ[83]
องค์การแฮนดิแคปอินเตอร์เนชั่นแนล-ประเทศไทย
(HI)
ได้รับงบประมาณจากสำนักงานความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแห่งสหภาพยุโรป
(ECHO) จำนวน 200,000 ยูโร
(226,300
ดอลล่าร์สหรัฐฯ)
[84]
เพื่อสนับสนุน
“โครงการให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยสัญชาติพม่าเพื่อให้พึ่งตนเองในเรื่องการให้ความรู้เรื่องทุ่นระเบิดและการฟื้นฟูสมรรถภาพ”
ในค่ายผู้ลี้ภัย
8 แห่งใน 4
จังหวัด
ระหว่างเดือนพฤษภาคม
2546 – เมษายน 2547
และได้รับทุนจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ
(UNHCR) จำนวน 142,212
ดอลล่าร์สหรัฐฯ
เพื่อใช้สำหรับโครงการเดียวกันในปี
2546[85]
นอกจากนี้
คณะผู้แทนถาวรไทยแห่งสหประชาชาติและกรมองค์การระหว่างประเทศ
กระทรวงการต่างประเทศ
ได้สนับสนุนทุนสำหรับการจัดพิมพ์หนังสือการ์ตูนเรื่อง
“จดหมายจากเพื่อนชายแดน”
และการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องการให้ความรู้เรื่องการเสี่ยงภัยจากทุ่นระเบิดแก่นักเรียนในระหว่างเดือนกันยายน
2546 –
กุมภาพันธ์ 2547
เป็นจำนวนรวม
6,325
ดอลล่าร์สหรัฐฯ
ในระหว่างปี
2546
มูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
ได้รับเงินบริจาคจากภายในประเทศจำนวน
18,000,000 บาท (433,062
ดอลล่าร์สหรัฐฯ)[86]
สำนักงานคาทอลิกสงเคราะห์ผู้ประสบภัยและผู้ลี้ภัย
(โคเออร์)
ให้ทุนแก่นักเรียนที่เป็นทายาทของผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดในจังหวัดสระแก้ว
และในปี 2546
ได้รับบริจาคเงินจำนวน
600,000 บาท (14,435
ดอลล่าห์สหรัฐ)
จากผู้บริจาคชาวไทยและจากมูลนิธิ
Kinder Mission Work
ประเทศเยอรมัน[87]
ผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทุ่นระเบิด
ในปี 2546 นปท. 1
และ 3
ได้มีบันทึกจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดไว้
29 ราย
(เสียชีวิต 4
รายและบาดเจ็บ
25 ราย)
ในบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในจังหวัดสระแก้ว
สุรินทร์
บุรีรัมย์
และศรีสะเกษ
และบริเวณชายแดนไทยลาว
ในจังหวัดอุบลราชธานี[88]
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจำนวนดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นจาก
19 คน ในปี 2545
ตามบันทึกข้อมูลที่
ศทช.
จัดทำไว้[89]
Landmine Monitor
ได้ระบุว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดอีก
17
คนที่มาจากส่วนอื่นของประเทศในปี
2545
รวมทั้งผู้ประสบภัยชาวกัมพูชาอีก
3 คน[90]
ยังคงไม่มีกลไกเพื่อการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลทั่วประเทศ
และ ณ
เดือนมิถุนายน
2547
ระบบการรายงานของ
นปท.
เพื่อการจัดเก็บข้อมูลลงในระบบฐานข้อมูล
IMSMA ที่ ศทช.
ติดตั้งไว้
ยังคงปฏิบัติการได้ไม่เต็มที่
การรายงานเรื่องผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากทุ่นระเบิดยังคงมีอย่างต่อเนื่องในปี
2547 ในช่วง 6
เดือนแรกของปี
ศทช.
จัดเก็บข้อมูลผู้ประสบภัยรายใหม่ได้
13 คน (ตาย 2
และบาดเจ็บ 11)
จำนวนนี้ได้รวมถึงเจ้าหน้าที่ในหน่วยปักปันเขตแดนไทยที่เหยียบทุ่นระเบิด
M 14
และได้รับบาดเจ็บที่เท้าขณะตรวจค้นทุ่นระเบิดใกล้บริเวณตลาดการค้าชายแดนไทย-ลาว
ในจังหวัดอุตรดิตถ์[91]
และมีทหารรายอื่น
ๆ
อีกจำนวนหนึ่ง
ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย[92]
นอกจากนี้
ยังได้มีการรายงานว่า
เมื่อวันที่ 1
มีนาคม 2547
ชาวบ้าน 2
คนจากจังหวัดสระแก้วได้รับบาดเจ็บ
ทำให้คนหนึ่งสูญเสียขาระดับเหนือเข่า
1 ข้าง
และอีกคนหนึ่งกระดูกแขนหัก[93]
ในเดือนมิถุนายน
ตำรวจ 4
นายได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิด
2 ทุ่น
ขณะให้ความคุ้มครองแก่ครู
ในระหว่างสถานการณ์ไม่สงบภายในที่จังหวัดนราธิวาสใกล้ชายแดนไทย-มาเลเซีย[94]
ข้อมูลผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทุ่นระเบิดที่มีความครอบคลุมมากที่สุดเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ได้แก่ข้อมูลจากการสำรวจผลกระทบจากภัยทุ่นระเบิดในเดือนพฤษภาคม
2544[95]
ผลการสำรวจระบุข้อมูลผู้ประสบภัย
“รายใหม่-ในช่วงไม่นานมานี้”
จำนวน 346 คน
โดยมียอดรวมทั้งสิ้น
3,468 คน
เสียชีวิต 1,497
คน
และบาดเจ็บ 1,971
คน
ซึ่งชี้ให้เห็นว่า
จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากทุ่นระเบิดและสรรพาวุธระเบิดที่ยังไม่ระเบิด
สูงกว่าสถิติที่มีก่อนหน้านี้[96]
อุบัติเหตุที่ได้รับการบันทึกไว้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา
กล่าวคือ
มีผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดและสรรพาวุธระเบิดที่ยังไม่ระเบิด
“ในช่วงไม่นานมานี้”
จำนวน 195 คน
ส่วนใหญ่เป็นชาย
(ร้อยละ 80) หญิง 10
คน
และเด็กอายุต่ำกว่า
14 ปี 4 คน
ผู้ประสบภัยส่วนใหญ่
(ร้อยละ 50)
เป็นเกษตรกรหรือผู้ใช้แรงงานขณะประสบภัย
โดยกิจกรรมที่ทำในขณะเกิดเหตุ
รวมถึงการหาอาหาร
น้ำ ไม้ฟืน
หรือล่าสัตว์/ตกปลา
(ร้อยละ 43)
มีเพียง 50 คน
(ร้อยละ 17)
เท่านั้นที่เป็นทหาร
และร้อยละ 14
อยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ขณะประสบภัย[97]
มีรายงานข่าวเกี่ยวกับช้างที่เหยียบทุ่นระเบิดปรากฏในสื่อต่าง
ๆ
อย่างต่อเนื่อง
ในเดือนกุมภาพันธ์
2546 โมแม่ลู
ช้างพังอายุ 28
ปี
เหยียบทุ่นระเบิดใกล้ชายแดนพม่า
ทำให้บาดเจ็บที่ขาหน้าข้างซ้าย
และได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลช้าง
จังหวัดลำปาง[98]
ข้อมูลจากมูลนิธิเพื่อนช้างระบุว่า
มีช้างจำนวนอย่างน้อย
10
เชือกได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเนื่องจากเหยียบทุ่นระเบิด[99]
ในเดือนกรกฎาคม
2547 ช้าง 9
เชือกจากจำนวน
15
เชือกที่โรงพยาบาลช้างประสบภัยจากทุ่นระเบิด
ช้างเชือกที่ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางคือ
โม่ตาลา
ที่เหยียบทุ่นระเบิดในปี
2542
ขณะทำงานในป่าใกล้กับชายแดนด้านตะวันตก
ในเขตจังหวัดตาก[100]
การช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิด
ไทยมีบริการด้านการแพทย์และการฟื้นฟูสมรรถภาพในโรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชน
รวมถึงสถานีอนามัย
โดยมีทั้งในระดับจังหวัด
อำเภอ
และตำบล
อย่างไรก็ตาม
มีรายงานว่าไทยยังขาดแคลนบุคลากรด้านการแพทย์และการดูแลสุขภาพในเขตชนบท
ในขณะที่ทุกอำเภอและหมู่บ้านมีบริการด้านการปฐมพยาบาล
แต่ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด
จะถูกส่งต่อไปรับการรักษาในสถานพยาบาลระดับที่สูงขึ้นไปและมีอุปกรณ์พร้อมกว่า
การรักษาด้านจิตวิทยาและการให้ความช่วยเหลือด้านสังคมยังไม่มีมากนัก
โรงพยาบาลในจังหวัดชายแดนบางแห่งมีแพทย์เฉพาะทางและมีหน่วยฟื้นฟูสมรรถภาพที่สามารถจัดทำขาเทียมและอุปกรณ์ช่วยเดินได้[101]
โดยทั่วไป
ผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดได้รับความช่วยเหลืออย่างเพียงพอ
อย่างไรก็ตาม
ภัยทุ่นระเบิดส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับครอบครัวเกษตรกรที่ยากจนตามชายขอบสังคม
ซึ่งขาดแคลนค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและการฟื้นฟูสมรรถภาพ
ผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดส่วนใหญ่ได้รับการดูแลจากครอบครัวและชุมชนของตนเอง
การสำรวจผลกระทบจากทุ่นระเบิดระบุว่า
มีผู้ประสบภัย
“ในช่วงไม่นานมานี้”
จำนวน 279
รายที่ไม่ได้เสียชีวิตทันทีขณะประสบเหตุ
134
รายได้รับการดูแลรักษาฉุกเฉิน
(ร้อยละ 48) และ 13
รายได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพ
(ร้อยละ 5)
ในขณะที่ผู้รอดชีวิต
14
รายไม่ได้รับการดูแลใดใด
(ร้อยละ5)
ไม่มีผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดให้ข้อมูลว่าได้รับการฝึกอาชีพ[102]
ตั้งแต่ปี 2542
เป็นต้นมา
ศทช.
ได้บรรจุกิจกรรมการช่วยเหลือเหยื่อทุ่นระเบิดไว้ในแผนปฏิบัติการทุ่นระเบิด
มีการประสานการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดกับกระทรวงสาธารณสุข
(การดูแลฉุกเฉิน)
กระทรวงมหาดไทย
(การฟื้นฟูสมรรถภาพ)
กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
(การฝึกอาชีพ)
และองค์กรพัฒนาเอกชนต่าง
ๆ[103]
ในปี 2546 ศทช.
ได้จัดหาอุปกรณ์เพื่อการประกอบอาชีพช่างตัดผมและช่างตัดเย็บเสื้อผ้าแก่ผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดจำนวน
25
รายจากจังหวัดต่าง
ๆ
บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา[104]
ในปี 2545
ให้การช่วยเหลือ
17 ราย และในปี 2544
ช่วยเหลือ 335
ราย[105]
ในปี 2546 ศทช.
จัดการอบรม 2
ครั้ง
เรื่องการช่วยเหลือเหยื่อทุ่นระเบิดและการให้ความรู้เรื่องการเสี่ยงภัยจากทุ่นระเบิดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย
ชาวบ้านจากจังหวัดสุรินทร์จำนวน
96 คน
และจากจังหวัดศรีสะเกษจำนวน
98 คน
ผ่านการอบรมดังกล่าว[106]
ในช่วงต้นปี
2547 Landmine Monitor
ได้รับแบบสอบถามคืนจำนวน
30 ชุด
จากที่ส่งให้โรงพยาบาลระดับอำเภอและโรงพยาบาลระดับภูมิภาคจำนวน
68
แห่งและรวมทั้งองค์กรอื่น
ๆ
ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
มีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่สามารถระบุจำนวนที่ได้รักษาผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิด
เนื่องจากขาดระบบการจัดเก็บข้อมูลผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดโดยเฉพาะ
ในปี 2546
โรงพยาบาลรัฐบาล
ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพ
และองค์กรพัฒนาเอกชน
18
แห่งรายงานว่าได้รักษาด้านการแพทย์และการช่วยเหลือเคลื่อนที่แก่ผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดจำนวน
582 คน[107]
ในปี 2546
ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ
ได้ผลิตแขน-ขาเทียมจำนวน
2,350 ข้าง
และแจกจ่ายไป
1,354 ข้าง
ซึ่งมากกว่าในปี
2545
ที่แจกจ่ายไปเพียง
314 ข้าง
และยังได้แจกเก้าอี้รถเข็น
1,289
คันและเครื่องช่วยพยุงเดิน
970 ชุด
ระหว่างวันที่
20-22 สิงหาคม 2546
ศูนย์สิรินธรได้จัดบริการหน่วยขาเทียมเคลื่อนที่เป็นกรณีพิเศษที่บริเวณชายแดนไทย-ลาว
จังหวัดอุบลราชธานี
เนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารีทรงเจริญพระชนมายุ
4 รอบ (48 พรรษา)
ผู้ที่มารับบริการ
162 คน
ส่วนใหญ่เป็นผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดแต่ไม่ได้มีการบันทึกสาเหตุความพิการ[108]
มูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
จัดหน่วยขาเทียมเคลื่อนที่ให้บริการฟรีแก่ผู้พิการในจังหวัดห่างไกลอย่างต่อเนื่อง
ในปี 2546
มีผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดจำนวน
62
คนเข้ามารับบริการที่หน่วยบริการ
5 หน่วย
ในจังหวัด
พังงา
กรุงเทพฯ
จันทบุรี
ร้อยเอ็ด
และอุบลราชธานี
เนื่องจากข้อมูลในคอมพิวเตอร์สูญหาย
จึงไม่สามารถระบุจำนวนขาเทียมและเครื่องช่วยพยุงการเดินที่ได้แจกจ่ายไปในปี
2546[109]
ในปี 2545
มูลนิธิฯ
ได้มอบขาเทียมจำนวน
1,155 ขา
และไม้ค้ำยัน
506 ข้าง
แก่ผู้พิการจำนวน
1,043 คน
ในจำนวนนี้เป็นผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดจำนวน
จำนวน 209 คน
และในปี 2544
ได้มอบขาเทียม
1,746 ข้าง
แก่ผู้พิการ
1,140 คน
โดยในจำนวนนี้
รวมถึงผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิด
211 คน[110]
เป็นเวลากว่า
10
ปีแล้วที่มูลนิธิขาเทียมได้ผลิตขาเทียมถึง
10,500 ข้าง
โดยใช้วัสดุภายในท้องถิ่น
มีการออกแบบให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและการใช้งานในไทย
จึงมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าขาเทียมนำเข้าจากต่างประเทศมาก[111]
ในเดือนพฤษภาคม
2546 มูลนิธิฯ
ได้เปิดสำนักงาน
ศูนย์ฝึกอบรม
และโรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดเชียงใหม่
มีการว่าจ้างช่างเทคนิค
12
คนประจำโรงงาน
และเริ่มฝึกอบรมการผลิตขาเทียมระดับเหนือเข่าขึ้นในเดือนมิถุนายน
2546[112]
ในปี 2547
มูลนิธิฯ
มีโครงการจัดหน่วยขาเทียมเคลื่อนที่ใน
4 จังหวัด คือ
นครปฐม ตรัง
น่าน
และปราจีนบุรี
และในอำเภอท่าขี้เหล็กของพม่าด้วย[113]
ตั้งแต่ปี 2525
เป็นต้นมา
องค์การแฮนดิแคปอินเตอร์เนชั่นแนล-ประเทศไทย
(HI)
ได้เปิดศูนย์ผลิตกายอุปกรณ์ขาเทียมไปแล้ว
15
แห่งภายในโรงพยาบาลประจำจังหวัดต่าง
ๆ องค์การฯ
ได้จัดโครงการอบรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้พิการโดยใช้ชุมชนเป็นฐานและศูนย์ผลิตกายอุปกรณ์ภายในพื้นที่รองรับผู้หลบหนีภัยจากการสู้รบชายแดนไทย-พม่า
ตั้งแต่ปี 2528
เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้พิการรวมถึงผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดด้วย
HI
ยังได้แจกจ่ายเก้าอี้ล้อเข็นและจัดโครงการฝึกอาชีพแก่ผู้พิการ
รวมถึงการเสริมสร้างศักยภาพขององค์กรต่าง
ๆ
ที่ดำเนินงานช่วยเหลือผู้พิการ
โครงการของ HI
ที่ชายแดนไทย-กัมพูชา
ในจังหวัดจันทบุรี
มีการจัดฝึกอบรมช่างเทคนิคซึ่งเป็นผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิด
และจัดตั้งศูนย์ผลิตและซ่อมขาเทียมภายในหมู่บ้านในตำบลเทพนิมิตรและตำบลคลองใหญ่
อำเภอโป่งน้ำร้อน[114]
ในปี 2546 HI
จัดอบรมด้านการทำขาเทียมและงานไม้ให้แก่ผู้ลี้ภัย
11 คน
และได้ช่วยเหลือผู้พิการ
450 คน
โดยจัดทำขาเทียมแก่ผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดจำนวน
254 คน
ในจำนวนนี้
เป็นผู้พิการรายใหม่
99 คน
และจัดซ่อมขาเทียมจำนวน
509
ข้าง[115]
ในปี 2545
ได้จัดทำขาเทียมรวม
137 ข้าง
และในปี 2544
จำนวน 119
ข้าง[116]
ในปี 2546 HI
ยังได้จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้ผู้รอดชีวิตจากภัยจากทุ่นระเบิดจำนวนกว่า
300
คนภายในค่ายผู้ลี้ภัย
สามารถคืนสู่ชุมชนในด้านเศรษฐกิจและสังคม
โดยมีกิจกรรมการรณรงค์
สันทนาการ
และการฝึกอาชีพ
อีกด้วย[117]
สำนักงานคาทอลิกสงเคราะห์ผู้ประสบภัยและผู้ลี้ภัย
(โคเออร์)
ได้เริ่มโครงการมอบทุนการศึกษาแก่ทายาทของผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดตั้งแต่ปี
2544 ในปี 2546
ได้มอบทุนการศึกษาจำนวน
315 ทุน ปี 2545
จำนวน 200 ทุน
และปี 2544 จำนวน 179
ทุน
โดยทุนที่มอบนี้ครอบคลุมถึงชุดนักเรียน
ชุดกีฬา
เครื่องเขียน
ค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมพิเศษ/ทัศนศึกษา
และในบางกรณีเพื่อซ่อมแซมที่พักและการเดินทาง
ผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดจำนวน
6
คนได้รับเก้าอี้ล้อเลื่อนในปี
2546[118]
ในปี 2546
สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทยได้แจกรถเข็นจำนวน
300 คัน
เครื่องช่วยพยุงการเดิน
20 ข้าง
และอุปกรณ์เสริมพิเศษ
10
ชุดแก่ผู้พิการในพื้นที่ห่างไกล
ในจำนวนนี้มีผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดได้รับ
30 คน[119]
มูลนิธิขาเทียมของโรงพยาบาลพระมงกุฎ
กรุงเทพฯ
และกองทัพบก
ร่วมกันจัดหน่วยบริการขาเทียมเคลื่อนที่ไปยังเขตชนบทในระหว่างปี
2547-2548
โครงการแรกจัดขึ้นในเดือนมีนาคม
2547
ที่จังหวัดตาก
โดยได้แจกขาเทียมจำนวน
168 ข้าง
และได้วางแผนดำเนินโครงการที่จังหวัดขอนแก่นและกำแพงเพชรเป็นลำดับต่อไป[120]
สโมสรโซรอพทีมิสท์
อินเตอร์เนชั่นแนลดุสิต
แห่งประเทศไทย
ซึ่งเป็นองค์การช่วยเหลือผู้หญิงได้สนับสนุนทุนการศึกษาแก่นักเรียนหญิงตั้งแต่เดือนมกราคม
2545 เป็นต้นมา
ในปี 2546
ได้มอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่เป็นทายาทของผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดในจังหวัดสุรินทร์และสระแก้ว
รวม 11 คน
เป็นเงินจำนวน
33,000 บาท (840
ดอลล่าร์สหรัฐฯ)
และในปี 2545
มีนักเรียนหญิงได้รับทุน
10 คน และในปี 2547
จะขยายการให้ทุนไปยังจังหวัดจันทบุรี[121]
ในปี 2545
คณะทำงานไทยรณรงค์เพื่อยุติกับระเบิดได้จัดโครงการระยะเวลา
1
ปีที่จังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์
โครงการนี้ประกอบด้วยการให้ความช่วยเหลือผู้พิการโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน
การเสริมสร้างความเข้มแข็ง
การสร้างความตระหนักถึงภัยทุ่นระเบิด
และจัดตั้งกองทุนกู้ยืมขนาดย่อม
มีผู้ประสบภัยทุ่นระเบิดประมาณ
50
ครอบครัวที่ได้รับการช่วยเหลือจากโครงการ
ฐานข้อมูลผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดซึ่งควรนำไปเสริมฐานข้อมูลผู้ประสบภัยของ
ศทช.
ยังไม่ได้จัดตั้งขึ้นเพราะขาดเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ
คณะทำงานฯ
ได้เก็บรวบรวมข้อมูลผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดจำนวน
120 คน
ซึ่งยังไม่ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล[122]
ผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดจากพม่าที่แสวงหาความช่วยเหลือจากไทย
ได้รับการดูแลทางการแพทย์จากโรงพยาบาลในค่ายผู้ลี้ภัย
และโรงพยาบาลประจำอำเภอที่อยู่ติดชายแดนไทย-พม่า
คือในเขตจังหวัดตาก
เชียงใหม่
แม่ฮ่องสอน
แม่สะเรียง
กาญจนบุรี
และราชบุรี
ตั้งแต่ปี 2543
เป็นต้นมา
โรงพยาบาลอำเภอแม่สอด
จังหวัดตาก
ได้ให้การรักษาพยาบาลแก่ผู้ประสบภัยทุ่นระเบิดชาวพม่าอย่างน้อย
316 คน กล่าวคือ 63
คนในปี
2546[123] 103
คนในปี 2545
จำนวน 84
คนในปี 2544 และ 66
คนในปี
2543[124]
ในปี 2545
คณะกรรมการกาชาดสากลจัดตั้งโครงการ
“War Wounded Program”
ร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชน
3 องค์กร คือ Aide Medicale
Internationale (AMI), International Rescue Committee (IRC) และ
Malteser Germany (MHD)
ซึ่งมีสถานพยาบาลในค่ายผู้ลี้ภัย
โดยคณะกรรมการกาชาดสากลสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดูแลภายในโรงพยาบาลในไทยสำหรับผู้บาดเจ็บจากสงคราม[125]
ชาวพม่าที่ประสบภัยทุ่นระเบิดในไทยต้องได้รับการรับรองให้เข้าพักพิงในค่ายผู้ลี้ภัยที่ได้รับการจัดตั้งก่อน
จึงจะได้รับความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการจากองค์การระหว่างประเทศ
ตั้งแต่เดือนเมษายน
2544 เป็นต้นมา
คลินิกแม่ตาวในไทยซึ่งให้การช่วยเหลือผู้ย้ายถิ่นชาวพม่าเป็นพิเศษ
ได้เปิดแผนกขาเทียม
ให้การช่วยเหลือกรณีฉุกเฉินในวงจำกัด
และส่งต่อผู้บาดเจ็บไปรับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลอำเภอแม่สอด
ในปี 2546
คลินิกแม่ตาวได้จัดสรรขาเทียมจำนวน
137 ข้าง (ร้อยละ 82
ของผู้รับ
เป็นผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิด)
และในปี 2545
จัดสรรจำนวน
150 ข้าง (ร้อยละ 74
เป็นผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิด)[126]
ในเดือนมีนาคม
2545 – มีนาคม 2546
คลินิกแม่ตาวได้จัดการอบรมการผลิตขาเทียมแก่ผู้พิการจากทุ่นระเบิดชาวฉาน
3
คนภายในคลีนิก
ปัจจุบัน
ทั้งสามคนได้ให้บริการด้านขาเทียมแก่ผู้พิการในรัฐฉาน
โครงการขาเทียมของคลินิกแม่ตาวได้รับการสนับสนุนจาก
Help Without Frontiers (Italy) ในปี 2546
และ Clear Path International และ Bainbridge
Island Rotary Club ในปี
2545[127]
และคลินิกยังได้จัดการฝึกอาชีพเย็บผ้าแก่คนพิการด้วย
โดยผู้ฝึกสอน
3
คนเป็นผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิด
ในเดือนสิงหาคม
2546 Clear Path International
ได้สนับสนุนการจัดตั้งโรงผลิตขาเทียมที่ตำบลเปียงหลวง
อำเภอเวียงแหง
จังหวัดเชียงใหม่
ซึ่งบริหารงานโดยผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิด
ผู้รับผลประโยชน์จำนวน
43 คนจาก 44 คน
เป็นผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดจากรัฐฉาน
ประเทศพม่า[128]
องค์การแฮนดิแคปอินเตอร์เนชั่นแนล-ประเทศไทย
ดำเนินโครงการ
“สร้างความเข้มแข็งของระบบและกลไกการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดในประเทศไทย”
ระหว่างเดือนกรกฎาคม
– ตุลาคม 2545
องค์ประกอบสำคัญของโครงการได้แก่การสัมมนาระดับชาติเรื่อง
“รูปแบบการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดแบบครบวงจร
(ประสบการณ์จากจังหวัดจันทบุรี)”
ในกรุงเทพฯ
เมื่อวันที่ 17
ตุลาคม 2546
ซึ่งมีผู้เข้าร่วมจำนวน
90
คนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
รวมถึงผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิด
รูปแบบการช่วยเหลือเหยื่อทุ่นระเบิดแบบครบวงจรซึ่งเป็นผลจากการสัมมนาครั้งนี้
ได้รับการนำเสนอต่อผู้บริหารนโยบายในกระทรวงต่าง
ๆ
ที่เกี่ยวข้อง
ทุนสนับสนุนโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของทุนที่รัฐบาลญี่ปุ่นจัดสรรให้
ศทช.
ผ่านทางโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติในปี
2544[129]
การดำเนินโครงการดังกล่าวมีความสอดคล้องกับข้อเสนอแนะจากการสัมมนาระดับภูมิภาคในหัวข้อการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทุ่นระเบิด
ที่จัดขึ้นในกรุงเทพฯ
ในเดือนพฤศจิกายน
2544
ไทยยังไม่ได้จัดทำแผนปฏิบัติการสำหรับการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดในระดับชาติ
ตามข้อเสนอแนะของการสัมมนาระดับภูมิภาค
ไทยได้ส่งมอบแบบฟอร์ม
J
ซึ่งเป็นการรายงานโดยสมัครใจเกี่ยวกับกิจกรรมการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดของไทยในปี
2545 และ 2546
แนบประกอบเอกสารรายงานความโปร่งใสตามมาตรา
7
ของอนุสัญญาฯ
ในเดือนกันยายน
2547 ดร.
สุรเกียรติ
เสถียรไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย
ได้ประกาศแผนจัดตั้งศูนย์เพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดในระดับโลก
โดยธนาคารโลกจะเป็นผู้สนับสนุนทุน
ศูนย์ดังกล่าว
จะให้บริการด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพด้านร่างกาย
การช่วยเหลือด้านจิตใจ
และการอบรมอาชีพเพื่อช่วยให้ผู้ประสบภัยสามารถกลับคืนสู่สังคมได้[130]
นโยบายและการปฏิบัติด้านคนพิการ
ผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิด
ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
ภายใต้พระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการไทยปี
2534
ซึ่งประกาศใช้เมื่อปี
2537
ซึ่งระบุว่าคนพิการมีสิทธิ
“ได้รับการบริการด้านสวัสดิการสังคม
การพัฒนา
และการฟื้นฟูสมรรถภาพ”[131]
อย่างไรก็ตาม
เป็นที่น่าเสียดายว่า
ผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดจำนวนมากไม่ได้รับสิทธินี้เนื่องจากรายละเอียดของกฎหมายเคร่งครัดเกินไป
จนทำให้ผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดไม่เข้าข่ายได้รับบริการสวัสดิการดังกล่าว
กฎหมายยังได้ระบุว่า
ผู้พิการจะต้องได้รับ
“ความช่วยเหลือและคำแนะนำในเรื่องการฝึกอาชีพที่เหมาะกับสภาพทางกายภาพ”
อย่างไรก็ตาม
เนื่องจากงบประมาณที่ไม่เพียงพอและเงื่อนไขทางด้านเศรษฐกิจ
เงื่อนไขต่าง
ๆ
ในด้านการจัดสรรทุนตามกฎหมายจึงยังไม่เกิดขึ้น
การบังคับใช้กฎหมายยังขาดความต่อเนื่อง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมเป็นประธานคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ[132]
ในเดือนมกราคม
2547
กรมประชาสัมพันธ์ได้ก่อตั้ง
“คณะทำงานกำหนดแผนยุทธศาสตร์การประชาสัมพันธ์เพื่อคนพิการ”
ขึ้นเพื่อกำหนดแผนยุทธศาสตร์เพื่อการช่วยเหลือคนพิการ[133]
ในปี 2546
กรุงเทพฯ
ได้เป็นสถานที่จัดการประชุมระดับภูมิภาคเพื่อประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของผู้พิการหลายครั้ง
รวมถึงการประชุมของผู้เชี่ยวชาญด้านผู้พิการระหว่างวันที่
2-4 มิถุนายน 2546
การประชุมเชิงปฏิบัติการระดับภูมิภาค
ในวันที่ 14-17
ตุลาคม 2546
และการประชุมเชิงปฏิบัติการที่จัดขึ้น
2
ครั้งเรื่องสตรีและความพิการ
โดยคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ
ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
(UNESCAP)
ให้การสนับสนุนการจัดในระหว่างวันที่
18-22 สิงหาคม 2546
และ 13 ตุลาคม
2546[134]
ระหว่างวันที่
24 กุมภาพันธ์
– 11 มีนาคม 2546
รัฐบาลไทย UNESCAP
และศูนย์พัฒนาด้านความพิการแห่งเอเชียแปซิฟิก
ได้ร่วมกันจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการให้กับเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้านคนพิการในประเทศที่กำลังพัฒนา
เพื่อให้สามารถปรับปรุงการเข้าถึงบริการต่าง
ๆ
ในเดือนเมษายน
2546 ศทช.
และคณะทำงานไทยรณรงค์เพื่อยุติกับระเบิด
ได้จัดโครงการขี่จักรยานจากกรุงเทพฯ
ถึงจังหวัดลพบุรีเป็นระยะทาง
160 กิโลเมตร
โดยมีผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดเข้าร่วม
35 คน[135]
ในวันที่ 23
พฤศจิกายน 2546
สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย
โดยการสนับสนุนจากคณะทำงานไทยรณรงค์เพื่อยุติกับระเบิด
และองค์กรต่าง
ๆ
ที่ปฏิบัติงานด้านคนพิการ
ได้จัดงาน “Bangkok
City Handi-Marathon”
ครั้งที่ 9
ขึ้นที่สวนวชิรเบญจทัศ
(สวนรถไฟ)
ในงานนี้มีคนพิการเข้าร่วมกว่า
350
คนจากทั่วประเทศ
รวมทั้งผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิด
22
คนจากจังหวัดจันทบุรี
บุรีรัมย์
สระแก้ว
และสุรินทร์
ได้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง
ๆ
ซึ่งรวมถึงการแข่งขันกรีฑา
การประกวด
นิทรรศการต่าง
ๆ
การแสดงดนตรีและขับร้องเพลง[136]
ในเดือนพฤษภาคม
2545
คณะกรรมการระดับชาติที่ดูแลนโยบายด้านสุขภาพคนพิการ
ได้มอบหมายให้ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ
เป็นหน่วยหลักในการดำเนินการช่วยเหลือและดูแลด้านการแพทย์แก่คนพิการ[137]
ในเดือนพฤศจิกายน
2545
สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหว
(สพค.)
ได้ขึ้นทะเบียนเป็นองค์กรการกุศลที่ไม่
แสวงหากำไร
องค์กรนี้ได้ดำเนินกิจกรรมเป็นตัวแทนของคนพิการ
โดยส่งเสริมด้านการศึกษา
อาชีพ
การฟื้นฟูสมรรถภาพและประสานงานกิจกรรมต่าง
ๆ
ให้กับคนพิการทั้งในชนบทและในเมือง
สพค.
ยังได้ให้ความรู้แก่สาธารณะชนถึงเรื่องราวของคนพิการและประสานงานกับองค์กรคนพิการอื่น
ๆ
ทั้งระดับจังหวัดและระดับชาติ[138]
ผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดชาวไทย
4
คนได้เข้าร่วมโครงการฝึกอบรมผู้นำ
“Raising the Voices”
ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างการประชุมระหว่างสมัยประชุมรัฐภาคีฯ
ในเดือนกุมภาพันธ์
2546
ที่นครเจนีวา
(ประเทศสวิตเซอร์แลนด์)
และได้เข้าร่วมการประชุมรัฐภาคีครั้งที่
5
ในเดือนกันยายน
2546 ที่
กรุงเทพฯ
นอกจากนี้
ทั้ง 4
คนยังได้ช่วยรวบรวมข้อมูลผู้ประสบภัยและผู้รอดชีวิตจากภัยทุ่นระเบิดในรายงานสถานการณ์ทุ่นระเบิดของไทย
(Landmine Monitor) ด้วย
[120]
การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์
นายแพทย์ฟูเศรษฐ
จงเฟื่องปริญญา,
ฝ่ายออร์โธพีดิกส์,
โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า,
กรุงเทพฯ, 18
มิถุนายน 2547;
รายงานโดย
พันเอกศิริชัย
ทรัพย์ศิริ,
นายกสมาคม,
สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย,
การประชุมคณะทำงานไทยรณรงค์เพื่อยุติกับระเบิด
ณ
ศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย,
ปทุมธานี, 19
ธันวาคม 2546.